11 May 2017
ผลงานบางจากฯ ไตรมาสแรกดีเยี่ยม คาดไตรมาส 2 แข็งแกร่งต่อเนื่อง
ผลดำเนินงานบางจากฯ ไตรมาสแรก มีรายได้ 43,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 มี EBITDA รวม 4,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 187 กลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นทุบสถิติ มียอดขายน้ำมันเติบโตต่อเนื่อง เร่งสร้างนวัตกรรมรุกธุรกิจใหม่ เพิ่มความแข็งแกร่งองค์กร คาดผลดำเนินการของธุรกิจสีเขียว
มีแนวโน้มพุ่งเกินเป้าหมาย
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ว่า บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 43,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 4,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 187 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 2,198 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 2,084 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.51 บาท
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัท บางจากฯ มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นที่มีอัตราการผลิตเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เฉลี่ยที่ 109,800 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสามารถกลั่นได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 121,640 บาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 7.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวแคบลง ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิงในบางผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory gain จำนวน 299 ล้านบาท จากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมี EBITDA 2,226 ล้านบาท
ธุรกิจการตลาด มีปริมาณการจำหน่าย 1,539 ล้านลิตร จากทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดอุตสาหกรรม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขยายฐานลูกค้าผ่านสถานีบริการ และอุปทานในตลาดอุตสาหกรรมที่ตึงตัวจากการหยุดกลั่นของโรงกลั่นบางแห่งในประเทศ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นที่ผ่านสถานีบริการ ส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ E85 และปริมาณการจำหน่ายในตลาดอุตสาหกรรมมาจากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา และน้ำมันดีเซล รวมทั้งมีการขยายสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ที่ทันสมัย และธุรกิจเสริมที่บริหารงานโดยบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ได้แก่ ธุรกิจร้านกาแฟอินทนิล มินิมาร์ท ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงภาพลักษณ์และคุณภาพการให้บริการที่ดีขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 นี้ ได้เปิดสถานีบริการน้ำมันใหม่จำนวน 7 สาขา พร้อมขยายสาขาอินทนิล 11 สาขา และ SPAR 3 สาขา และยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัท บางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น รวม 1,075 แห่ง มีค่าการตลาดรวมอยู่ที่ 0.84 บาท ต่อลิตร มี EBITDA รวม 856 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ บริหารโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบางจากฯ มีรายได้ 798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเปิดดำเนินโครงการโซลาร์สหกรณ์ (Solar Co-op) 3 โครงการ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น รวม 2 โครงการ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมในประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 30 เมกะวัตต์ ส่วนในประเทศไทยมีจำนวน 130 เมกะวัตต์ โดยในไตรมาสนี้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้า 72.58 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มี EBITDA รวม 706 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 2 ของ บริษัท บีซีพีจีฯ จะมีปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานจากการปรับค่าไฟ Ft เพิ่มขึ้น และการรับรู้การผลิตไฟฟ้าเต็มทั้งไตรมาสของกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ที่เริ่มเดินเครื่องในไตรมาสแรกทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งมีการลงทุนในโครงการใหม่ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศอินโดนีเซีย โดยการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคมปีนี้
โดยในเดือนมีนาคม 2560 บริษัท บีซีพีจีฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับบริษัท CAIF III Pte. Ltd. เพื่อเข้าซื้อเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท CapAsia ASEAN Wind Holdings Cooperatief U.A. ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือหุ้นในบริษัท PetroWind Energy Inc. ที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วขนาด 36 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนา 14 เมกะวัตต์ ในวงเงินไม่เกิน 28.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,004 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนไปยังระดับภูมิภาค คาดว่าทั้งปีจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20
ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีรายได้ 1,902 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซล 1,639 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจเชื้อเพลิงเอทานอล 263 ล้านบาท มี EBITDA 179 ล้านบาท แบ่งเป็นของบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด 101 ล้านบาท บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) 58 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท อุบล ไบโอเอทานอล จำกัด 20 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของบริษัท
บางจากไบโอฟูเอลฯ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น คาดว่าจะมี EBITDA 173 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
และธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีปริมาณการจำหน่ายรวม 200,630 บาร์เรล มีรายได้จากการขาย 399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Galoc มีอัตราการผลิตเฉลี่ย 4,385 บาร์เรลต่อวัน โดยราคาส่งมอบในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ราคา 55.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และมี EBITDA 133 ล้านบาท
อนึ่ง บริษัท บางจากฯ อยู่ระหว่างการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานเพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจชีวภาพ (BIO Product) และทรัพยากรธรรมชาติ (E&P) โดยมีศูนย์นวัตกรรม Bangchak Initiative Innovation Center : หรือ BiiC ที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ในการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ด้านระบบกักเก็บพลังงาน รวมทั้ง Green Technology / Green Material และ Bio-base Material เพื่อสร้างความมั่นคงให้องค์กร มุ่งก้าวสู่การเป็นกลุ่มบริษัทนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชีย