09 August 2019
กลุ่มบางจากฯ เผยรายได้ 6 เดือนแรก พร้อมสร้างความเชื่อมั่นครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานกลุ่มบริษัท บางจากฯ ในครึ่งปีแรก 2562 มีรายได้ 93,861 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA รวม 4,147 ล้านบาท กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 742 ล้านบาท โรงกลั่นกลั่นน้ำมันได้ตามปกติ ค่าการกลั่นดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1 ยอดจำหน่ายตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก้าวสู่ผู้นำ B20 ควบคู่กับการพัฒนา ขยายธุรกิจ Non-oil ชูภาพลักษณ์ร้านกาแฟ Eco Brand เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านธุรกิจในกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เดินหน้าผุดโครงการด้านนวัตกรรมเพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรก 2562 ว่าบริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 93,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) 4,147 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,070 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 742 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.54 บาท สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2562 บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 48,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า มี EBITDA 2,189 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 675 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 528 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.38 บาท
ด้านธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA 650 ล้านบาท มีค่าการกลั่นพื้นฐานอยู่ที่ 4.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และสามารถใช้กำลังการผลิตได้อย่างปกติต่อเนื่องโดยอัตราการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 112,670 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 94 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น มีค่าการกลั่นรวม 4.53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ในไตรมาสนี้มี Inventory Loss 107 ล้านบาท (รวมค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ LCM 15 ล้านบาท) เป็นผลจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกระหว่างไตรมาส
ด้านกลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 630 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายรวม 1,543 ล้านลิตร โดยผลการดำเนินงานดีขึ้นตามค่าการตลาดที่ปรับเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานลูกค้า รวมทั้งการเปิดจำหน่ายน้ำมันดีเซล B20 ในโครงการ “บางจาก B20 เพื่อรถดีเซล ลดฝุ่น ประหยัดเงิน” เพื่อสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพลังงาน และต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ไฮดีเซล B20s” ที่ยกระดับคุณภาพน้ำมันดีเซล B20 ด้วยเทคโนโลยี Green S เพื่อเพิ่มค่าซีเทนและทำความสะอาดเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มสมรรถนะ เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย โดยจำหน่ายในราคาที่เท่ากับน้ำมัน B20 ซึ่งเป็นน้ำมันคุณภาพราคาประหยัด พร้อมขยายการจำหน่ายในสถานีบริการให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค กว่า 400 แห่งและขึ้นเป็นผู้นำด้าน B20 ช่วยกระตุ้นการใช้น้ำมันดีเซล B20 ให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม
ทั้งนี้ บริษัท บางจากฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ที่แข็งแกร่งในธุรกิจได้ต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสะสมเดือนมกราคม – มิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 15.8 โดยในเดือนมิถุนายนมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 16 จากการขยายจำนวนสถานีบริการมาตรฐานบนพื้นที่ที่มีศักยภาพ และมีการรักษามาตรฐานการบริการ ในรูปแบบ Greenovative Experience โดยสถานีบริการ ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,185 สาขา
ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ทั้งร้านสะดวกซื้อ SPAR และร้านกาแฟอินทนิล ภายใต้การดูแลของบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ยังคงมีการพัฒนาการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มุ่งเน้นความเป็น Eco Brand โดยยกระดับร้านกาแฟอินทนิลที่มีการใช้ไบโอพลาสติกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย พร้อมขยายสาขาให้สามารถรองรับและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนร้าน SPAR 46 สาขา และร้านกาแฟอินทนิล 541 สาขา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 721 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวม 81.25 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศมีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าความเข้มแสงเฉลี่ยของโครงการปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลจากปัจจัยด้านฤดูกาล และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสําหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตรร่วมกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ อผศ. จำนวน 2 โครงการ ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศไทย “ลมลิกอร์” กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 8.965 เมกกะวัตต์ (กำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกกะวัตต์) ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 โดยมีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้า 2.5 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ด้านโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 64 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่ลดลงจากการจำหน่ายโครงการ Nikaho และ Nagi (กำลังการผลิตตามสัญญารวม 19.3 เมกกะวัตต์) ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายน 2561 ขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหลืออีก 5 โครงการ (กำลังการผลิตตามสัญญารวม 14.7 เมกกะวัตต์) มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ของปี 2561 นอกจากนี้ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 62 ล้านบาท จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศอินโดนีเซีย และธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศฟิลิปปินส์
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ มี EBITDA รวม 136 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจผลิตไบโอดีเซล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้น จากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B20 เพื่อเป็นแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน แต่กำไรขั้นต้นยังคงได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคาขายกลีเซอรีนปรับตัวลดลงตามปริมาณกลีเซอรีนที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลมีรายได้ 1,453 ล้านบาท มีปริมาณการผลิต B100 ในไตรมาส 2 ที่ 74.11 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรขั้นต้น 59 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจผลิตเอทานอล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน และบริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยเอทานอลจะปรับตัวลดลงจากปริมาณสต๊อกเอทานอลของประเทศที่อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปริมาณการผลิตและจำหน่ายเอทานอลลดลง เนื่องจากโรงงานมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน
โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีรายได้ 1,002 ล้านบาท มีปริมาณการผลิตรวมของผลิตภัณฑ์เอทานอลอยู่ที่ 43.69 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA 145 ล้านบาท มีผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA เพิ่มขึ้น โดยส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตของแหล่ง Draugen Field เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้มีการจำหน่ายน้ำมันดิบจากแหล่ง Draugen Field จำนวน 2 Cargoes เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีการจำหน่าย 1 Cargo อย่างไรก็ตามยังคงมีการตั้งด้อยค่า Technical Goodwill ของแหล่ง Gjøa Field และในไตรมาสนี้มีการบันทึกกำไรจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุน 94 ล้านบาท จากการที่ OKEA มีการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งบริษัท BCPR ได้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มภายใต้เงื่อนไขการลงทุนตามข้อตกลงการลงทุนเริ่มแรกใน OKEA รวมถึงได้จองและซื้อหุ้น IPO ดังกล่าว โดย IPO ครั้งนี้มีการใช้ Greenshoe Option ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ทำให้ ณ ปัจจุบัน BCPR ถือหุ้น OKEA รวมทั้งหมด 47,477,563 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 46.62 ของทุนจดทะเบียนของ OKEA นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีผลกำไรจากสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 82 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำหรับในครึ่งปีหลัง บริษัท บางจากฯ และบริษัทในกลุ่ม จะเดินหน้ามุ่งสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาวตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตทั้งกลุ่ม ตามแนวทางที่ดำเนินอยู่บนความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมเพื่อสร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน ที่บางจากฯ ยึดถือปฏิบัติมากว่า 35 ปี