08 พฤศจิกายน 2566
ปิดดีลประวัติศาสตร์และเปิดประตูสู่บริบทใหม่ของกลุ่มบริษัทบางจาก ผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กลุ่มบริษัทบางจากรายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท มี EBITDA 31,433 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้ 94,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นมา รวมถึงมีการบันทึกกำไรพิเศษจากเข้าซื้อหุ้นเอสโซ่ (ประเทศไทย)
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท มี EBITDA 31,433 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันจะได้รับปัจจัยกดดันจาก Operating GRM ที่ลดลงในครึ่งแรกของปีจากราคาน้ำมันที่ลดลง แต่การที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และการที่บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นบริษัทย่อยของบริษัท และเริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงาน ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 14,210 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.09 บาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2566 มีผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 39 ปี อยู่ที่ 11,011 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 7.91 บาท โดยมีรายได้ 94,528 ล้านบาท มี EBITDA 13,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า ร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่ราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มี Inventory Gain 3,598 ล้านบาท 2) ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น 3) ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว เต็ม ไตรมาสและรับรู้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ และ 4) รับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในสัดส่วนร้อยละ 76.34 ในงบการเงินรวม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นมา รวมถึงมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อที่เกิดจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สิน (PPA) จำนวน 7,389 ล้านบาท
สรุปผลการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจในไตรมาส 3 ของปี 2566 มีดังนี้
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA 6,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยค่าการกลั่นพื้นฐานในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ 14.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นระดับที่สูงกว่าค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ที่อยู่ที่ 9.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นฯ มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 116.4 พันบาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 97 ของกำลังการผลิต
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 1,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 1,571 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย เพิ่มขึ้นทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดอุตสาหกรรม เป็นผลจากการผลักดันการจำหน่าย การขยายสถานีบริการ และการส่งเสริมการตลาด ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดน้ำมันอากาศยาน ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
กลุ่มธุรกิจเอสโซ่ (ประเทศไทย) มี EBITDA 1,281 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ได้เริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในงบการเงินรวมของบางจากฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2566 โรงกลั่นน้ำมัน บางจาก ศรีราชามีการหยุดดำเนินการผลิตเพื่อการซ่อมบำรุงตามแผนและเพื่อดำเนินการติดตั้งและเชื่อมต่ออุปกรณ์สำหรับโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 เป็นเวลา 25 วัน
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA 1,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็น EBITDA สูงที่สุดใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป. ลาว กลับมาผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเต็มไตรมาส และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทยมีปริมาณการจำหน่ายไฟเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อนหน้า และมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นตามแผนบริหารการขายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของบริษัท
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA 4,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณจำหน่ายของ OKEA เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของแหล่งผลิต Brage และ Nova (ในไตรมาส 2 ปี 2566 ไม่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก 2 แหล่งนี้) นอกจากนี้ ราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้ OKEA ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐของนอร์เวย์ในการขยายการลงทุนในแหล่ง Statfjord โดยคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ อันเกิดจากการวางรากฐานในการสร้างขีดความสามารถของบางจากฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจ ด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อบางจากฯ ในการแสวงหาและคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สู่ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น โดยเรายังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบและมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาสมดุลของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Energy Trilemma)”
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายน บางจากฯ ได้อนุมัติได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.5 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบางจากฯ ในการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง