28 กุมภาพันธ์ 2568
จีนกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
คอลัมน์ Everlasting Economy: Regenerative Reflections กุมภาพันธ์ 2568 โดย ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ผมกลับมาจากดาวอสปีนี้ (การประชุม World Economic Forum 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนมกราคม) พร้อมกับเสียงที่ก้องอยู่ในหูว่า ปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการติดตามอุณหภูมิโลกมา ค่าเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 1.5°C ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายของข้อตกลงปารีส และยังไม่แน่ว่าเป้าหมาย 2°C ที่เป็นเป้าถัดไปจะเอาอยู่หรือไม่ การพูดคุยส่วนใหญ่มองว่าเทคโนโลยีและทางเลือกที่มีอยู่ปัจจุบันยังไม่ตอบโจทย์ พลังงานหมุนเวียนก็ยังไม่สามารถรับประกันความมั่นคงและเสถียรของไฟฟ้าทุก ๆ วินาทีได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไฮโดรเจนยังเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนสูงมาก รถไฟฟ้ามีราคาแพงและขายต่อไม่ได้ราคา เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่สนับสนุนให้สหรัฐฯ ลงทุนในฟอสซิล ตามสโลแกน “drill, baby drill” ทำให้วันนี้สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก มีกำลังการผลิต กว่า 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเทียบเท่ากว่า 4,800 ล้านลิตรต่อวัน
แต่พอมาอ่านหนังสือพิมพ์ Financial Times ก็ยังมีข่าวที่ทำให้พอมีความหวัง เมื่อนักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่า จีนได้ผ่านจุดสูงสุดของการบริโภคน้ำมันแล้วหรือไม่? (Has China Already Reached Peak Oil?) ซึ่งมีการวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ ผมขอสรุปมาเป็นประเด็นหลัก ๆ ดังนี้นะครับ
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศจีนได้สร้างแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์ได้ถึง 1,200 กิกะวัตต์ (GW) (ประเทศไทยมีกำลังไฟฟ้าติดตั้งทุกประเภททั้งประเทศประมาณ 51 GW) สามารถบรรลุเป้าหมายได้ล่วงหน้าถึง 6 ปีจากเป้าหมายเดิมในปี 2030 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและเทคโนโลยีของจีนที่ล้ำหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มบริษัทบางจากเองก็มีประสบการณ์ตรง สามารถยืนยันได้จากการก่อสร้างโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม wind farm ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ขนาด 600 เมกะวัตต์ (MW) ที่ประเทศลาวตอนใต้เพื่อจ่ายไฟฟ้าไปยังเวียดนาม โดยใช้เสาใบพัดความยาว 80 เมตร เท่ากับความยาวของสนามฟุตบอล และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 4.5 MW ต่อต้น มากกว่าความต้องการของห้างสยามพารากอนทั้งห้าง ซึ่งบริษัทผู้รับเหมาจากจีนสามารถสร้างเสร็จภายใน 18-20 เดือน ถ้าเป็นผู้รับเหมาชาติอื่นคงจะทำได้ยากกว่านี้
นอกจากนี้ จีนยังจัดสรรงบประมาณ 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 6 ปีข้างหน้าเพื่อปรับปรุงระบบสายส่ง Transmission Modernization ให้สามารถรองรับไฟฟ้าจากพลังงานจากแหล่งหมุนเวียนอย่างลมหรือแสงอาทิตย์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยในอนาคตระบบจ่ายไฟฟ้า Dispatch Center ของจีนจะให้สิทธิพิเศษ (priority) กับไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียวก่อน น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่มีประเทศไหนตามทัน

ในภาคขนส่ง อย่างที่เราทราบกันว่ารถ EV ประมาณ 7 ใน 10 คันของโลกอยู่ในจีน และในปีนี้ 70% ของรถใหม่ที่ขายในจีนเป็นรถไฟฟ้า ที่สำคัญ ที่ประเทศจีนจะไม่เรียก EV เฉย ๆ แต่เรียกว่า EiV หรือ Electric intelligent Vehicle เพราะมองว่ารถไฟฟ้าเปรียบเสมือน smart device ที่ทำได้มากกว่าแค่การขับเคลื่อน เช่น การทักทายคนขับด้วยเสียงเพลง การเข้าจอดรถแบบขนานด้วยตนเอง เราเริ่มได้ยินว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง BYD เตรียมบรรจุ DeepSeek เข้าไปในรถ ซึ่งอาจทำให้เราเห็นการขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Driving) อย่างแพร่หลายในจีนเร็ว ๆ นี้ และคงทำให้ท้องถนนในประเทศจีนปลอดภัยมากขึ้น
ส่วนรถสิบล้อหรือรถบรรทุกที่แบตเตอรี่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้นั้น จีนก็ให้ใช้ LNG หรือก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีคุณสมบัติเหมือนดีเซล กล่าวคือใช้เวลาเติมประมาณ 10-15 นาที ในขณะที่บ้านเราใช้ CNG ที่ใช้เวลากว่าชั่วโมงในการเติม (อย่างที่เราเห็นรถแท็กซี่เข้าคิวจอดอยู่) และวิ่งได้ประมาณเฉลี่ย 1,000 กิโลเมตรต่อถัง เมื่อเทียบกับ CNG ที่ 300 กิโลเมตรต่อถัง ปัจจุบัน 40% ของรถขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเป็นรถบรรทุก LNG ซึ่งช่วยลดมลพิษและคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างมีนัยสำคัญ
ว่ากันว่าการบริโภคน้ำมันของจีนเพื่อการขนส่งทางบกนั้นได้ผ่านจุดสูงสุดในปี 2023 ไปแล้ว และถึงแม้จะยังมีความต้องการใช้ฟอสซิลในภาคอื่น เช่นการขนส่งทางอากาศหรือการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงกังหันลม แต่ในต้นปี 2024 การบริโภคน้ำมันโดยรวมของจีนได้ลดลงประมาณ 2% หรือ 200,000 บาเรลต่อวัน ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีกับโลกใบนี้ครับ