28 กุมภาพันธ์ 2561
สายส่งไร้สาย (Wireless Transmission) ชีวิตดี๊ดี
คอลัมน์ Everlasting Economy จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2561
โดย คุณชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ท่านผู้อ่านยังจำหนังฮอลลีวูดเมื่อสักสิบปีที่แล้วได้ไหมครับ ในหนังมักจะมีฉากคุณแม่บ้านอยู่ในห้องครัว แล้วคุณสามีโทรมา เธอจะรีบไปรับโทรศัพท์ที่มีหูฟังสายยาวๆ แล้วก็หนีบหูโทรศัพท์และคุยไป เดินไป เพื่อทำอาหารไปด้วย ภาพเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ เพราะเราใช้โทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟนที่ไม่ต้องใช้สายแล้ว
ทุกวันนี้ เราสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการผ่านสมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องต่อสายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของการส่งข้อมูลสื่อสารแบบไร้สาย ที่พัฒนาตั้งแต่เริ่มมีไอโฟนเมื่อ 10 ปีผ่านมา แต่ใช้กันจนคุ้นเคยเหมือนอยู่ด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิตของเรา
เริ่มจากสัญญาณเสียง (Voice) ของโทรศัพท์ไร้สาย มาสู่การส่งข้อมูล (Data) แบบไร้สายผ่านสมาร์ทโฟน เมื่อทั้งเสียงและข้อมูลสามารถส่งแบบไร้สายได้แล้ว ทำไมตัวประจุไฟฟ้าจึงจะไม่สามารถส่งแบบไร้สายได้ ซึ่งล่าสุดสิ่งที่ไอโฟนได้พัฒนาคือเรื่องของการชาร์จโทรศัพท์ ถ้าเป็นไอโฟนรุ่นก่อนๆ เรายังต้องใช้สายชาร์จอยู่ แต่ตอนนี้ไอโฟนแปดและไอโฟนสิบก็สามารถชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charging) ได้แล้ว
นั่นเป็นตัวอย่างการชาร์จไฟในอุปกรณ์ขนาดเล็ก แต่ในประเทศอังกฤษ ที่เมือง Milton Keynes นั้น เราสามารถชาร์จรถเมล์ไฟฟ้าแบบไร้สายได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก ทำให้ในเมืองไม่ต้องมีสายไฟฟ้ารกรุงรัง ไม่ต้องมีแท่นชาร์จไฟฟ้าตั้งขึ้นมาทั่วเมือง และที่เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน ก็ใช้รถเมล์ไฟฟ้าที่ชาร์จไฟแบบไร้สายแล้วเช่นกัน
การชาร์จแบบไร้สายนี้ ใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Induction) เป็นหลักการพื้นฐาน อาศัยขดลวดสองชุด ชุดหนึ่งฝังที่พื้นถนน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าจ่ายเข้าไปยังขดลวด จะเกิดการเหนี่ยวนำทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก และเมื่อรถเคลื่อนที่มาที่สนามแม่เหล็กนั้น ขดลวดอีกชุดหนึ่งที่อยู่บนรถก็จะถูกเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนรถ
เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่สามารถชาร์จไฟโดยไม่ต้องใช้สายแล้ว กล่าวคือส่งประจุโดยไม่ใช้สายในระยะใกล้ได้แล้ว ทำไมเราจะไม่สามารถส่งไฟฟ้าแบบไร้สายได้ในระยะไกล จึงเกิดการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดและพัฒนาสายส่งไฟฟ้าโดยไม่ต้องใช้สายส่ง หรือ Wireless Transmission ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เท่าที่ศึกษาในปัจจุบันจะมีสองเทคโนโลยีหลักคือการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนที่กล่าวข้างต้น ส่วนอีกเทคโนโลยีจะอาศัยคลื่นไมโครเวฟ ทำงานคล้ายกับเตาไมโครเวฟ โดยวิธีการส่งพลังงาน คือ ที่ต้นทางจะมีระบบแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นไมโครเวฟ แล้วส่งผ่านตัวกระจายสัญญาณไปในระยะทางไกลๆ ส่วนที่ปลายทางก็จะมีอุปกรณ์รับคลื่นไมโครเวฟที่สามารถแปลงคลื่นที่รับได้ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าอีกทีหนึ่ง ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยีนี้ต่างก็เป็น Proven Technology แล้ว แต่ยังมีจุดด้อยหลายประการที่ต้องพัฒนาต่อเนื่องด้วยกันทั้งคู่ คิดว่าการพัฒนาเรื่องสายส่งไร้สายคงยังต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตามเมื่อสายส่งไร้สายใช้งานได้แล้ว คงเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องของทัศนียภาพของเมืองที่เปลี่ยนไปที่ไม่ต้องมีสายไฟตามถนนทางเดิน ไม่จำเป็นต้องมีที่ชาร์จรถยนต์ข้างถนน หรืออาจจะทำให้แท่นชาร์จตามถนนมีสภาพเหมือนตู้โทรศัพท์สาธารณะที่จะไม่มีคนใช้งาน ขณะเดียวกันความต้องการของทองแดงเพื่อมาทำสายไฟก็จะลดไป ลดการทำเหมืองที่ต้องใช้พลังงานและทรัพยากรมาก เป็นส่วนทำให้โลกเราน่าอยู่สำหรับลูกหลานของเราต่อไป